Binance ตั้งใจที่จะดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตอีกครั้ง ในการให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในสิงคโปร์

สิงคโปร์ – Binance ตั้งใจที่จะดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตอีกครั้ง ในการให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในสิงคโปร์ โดยเปลี่ยนจากลูกค้ารายย่อยเป็นลูกค้าองค์กร แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันที่บริษัทกำลังเผชิญปัยหาการตรวจสอบที่เพิ่มขึ้นจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ จากการเปิดเผยของ สำนักข่าว nikkei ของประเทศญี่ปุ่น ระบุว่าหากย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทาง Binance ได้เปิดตัวธุรกิจที่ปรับปรุงใหม่จากรูปแบบการดำเนินธุรกิจทั่วไปที่ให้บริการลูกค้าหลากหลาย โดยหันมาเน้นลูกค้าองค์กรในประเทศสิงคโปร์เป็นหลัก โดยได้ทำการเปลี่ยนชื่อ Binance Custody เป็น Ceffu ซึ่งการแลกเปลี่ยนดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยถึงความสัมพันธ์ของเงินทุน โดยการดำเนินธุรกิจดังกล่าวนั้น เหมาะสำหรับนักลงทุนมืออาชีพที่กำลังมองหาบริการดูแลทรัพย์สินและสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ซึ่งงสำหรับธุรกิจนี้การแลกเปลี่ยนต้องมีการได้รับใบอนุญาต ขณะที่ Jarek Jakubcek หัวหน้าฝ่ายฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายของ Binance กล่าวกับ Nikkei Asia ว่าบริษัทของเขาได้เพิ่มขีดความสามารถเพื่อตอบสนองความต้องการของหน่วยงานกำกับดูแล “Binance ได้มีการว่าจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์หลายปี ในการตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบของแต่ละภูมิภาคนั้นๆ” เขากล่าว ทั้งนี้หากย้อนไปในปีที่ปิดแพลตฟอร์มในสิงคโปร์สำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งบริษัทต้องฝ่าฟันมรสุมจากแรงกดดันที่มาจากหน่วยงานด้านการเงินในท้องถิ่น และผู้ให้บริการ crypto ยักษ์ใหญ่ที่ได้ให้บริการจากศูนย์กลางการเงินในเอเชีย แก่ลูกค้าสถาบัน Athena Yu รองประธานของ Ceffu กล่าวกับ Nikkei ว่า “ด้วยชื่อเสียงของสิงคโปร์ในด้านนวัตกรรม การกำกับดูแลกิจการที่ดีและกรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง จึงไม่แปลกใจเลยที่นักลงทุนสถาบันจะถูกดึงดูดให้ตั้งกิจการที่นี่” นอกจากนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหน่วยงานเฝ้าระวังตลาดทุนของอเมริกา คัดค้านข้อเสนอของ Binance US ซึ่งเป็นหน่วยงานแยกต่างหากที่จัดตั้งขึ้นสำหรับตลาดท้องถิ่น เพื่อซื้อทรัพย์สินของผู้ให้กู้คริปโตที่ล้มละลาย เช่น Voyager Digital โดยสังเกตว่าส่วนหนึ่งของแผนช่วยเหลืออาจละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ท้องถิ่น ขณะที่สิงคโปร์ ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับ Binance โดยในปี 2564 หน่วยท้องถิ่นของ Binance ได้ยกเลิกการเสนอราคาใบอนุญาตในประเทศจาก Monetary Authority of Singapore (MAS) พร้อมกับออกจากบริการค้าปลีกโดยตรงจากสิงคโปร์อย่างกะทันหัน ทำให้หน่วยงานท้องถิ่น มีท่าทีที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับธุรกรรมการเก็งกำไร crypto ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและอาจสร้างความเสียหายแก่นักลงทุนและประชาชนสิงคโปร์เป็นจำนวนมาก โดยในปีนั้น MAS สั่งให้บริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตต่างๆ หยุดการโปรโมทเพื่อเชิยชวนนักลงทุนทั้งรายบุคคลและสถาบันในประเทศ หลังจากที่ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ชาวสิงคโปร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ Binance ต้องถูกสอบสวนโดยหน่วยสืบสวนอาชญากรรมของสิงคโปร์ว่าละเมิดกฎหรือไม่ ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 MAS ได้เผยแพร่ข้อเสนอที่ต้องการขยายขอบเขตการเข้าถึงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศซึ่งเป็นผู้บริโภคในเขตพื้นที่การลงทุนคริปโต ซึ่งเป็นแผนที่จะขอความคิดเห็นจากนักลงทุนและผู้ใช้คริปโตในอุตสาหกรรมจนถึงเดือนธันวาคม ทั้งนี้กรอบการทำงานนี้ห้ามไม่ให้บริษัทยืมเหรียญดิจิทัลที่เป็นของลูกค้ารายย่อย และกำหนดให้ทรัพย์สินของลูกค้าแยกออกจากการถือครองของบริษัท เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำรอย จากกรณีของ Zipmex ที่นำสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าไปหาประโยชน์หรือดอกผล นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลยังระงับวงเงินสินเชื่อ เพื่อใช้ในการซื้อสกุลเงินดิจิทัล โดยบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลอาจจำเป็นต้องจัดการการประเมินสำหรับนักลงทุนรายย่อย ก่อนที่ลูกค้าเหล่านั้นจะสามารถแลกเปลี่ยนโทเค็นเสมือนได้ ขณะที่ Desmond Yong หัวหน้าเจ้าหน้าที่กลยุทธ์ของ Digital Treasures Center บริษัทการชำระเงินด้วยคริปโตกล่าวว่า “การดำเนินการจะประเมินความเหมาะสมของลูกค้า ว่ามีข้อจำกัดในการกู้ยืมเพื่อซื้อขายโทเค็นหรือไม่ ซึ่งการชำระเงินดิจิทัลจะส่งผลกระทบและลดกิจกรรมดังกล่าวลง” อย่างไรก็ดีร่างมาตรการเพิ่มเติมได้กำหนดสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่เข้มงวดขึ้น สำหรับบริษัทคริปโตในสิงคโปร์ ซึ่งได้รับชื่อเสียงมาแล้วว่ากำลังพยายามอย่างหนักในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ด้าน Yuankai Lin หุ้นส่วนของสำนักงานกฎหมาย RPC Premier Law กล่าวว่า “ผมจะไม่พูดว่าข้อบังคับเหล่านี้จะห้ามบริษัทเข้ามาสร้างความเสียหายในสิงคโปร์อย่างแน่นอน ซึ่งเราต้องจำไว้ว่าสิงคโปร์ไม่ใช่ประเทศเดียวที่คิดจะควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง crypto เพราะปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทุกคนคงจะยังจดจำเรื่องราวดังกล่าวได้ดีอยู่” อย่างไรก็ตาม จากการกำหนดเกณฑ์ข้อระเบียบเพื่อควบคุมความเสี่ยงและป้องกันความเสียหายในอุตสาหกรรมคริปโตของ MAS ที่มีต่อบริษัทผู้ประกอบการต่างๆนั้น มีค่าใช้จ่ายด้านการประกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับนักลงทุน ซึ่ง Jakubcek จาก Binance กล่าวว่า “การลงทุนเพื่อการปฏิบัติตามกฏที่ MAS วางไว้นั้น มันสำคัญ และมีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก” ขณะที่ Ken Kodama ซีอีโอของ EMURGO ผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีสำหรับบล็อกเชน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สนับสนุนสกุลเงินดิจิทัล ตั้งข้อสังเกตว่า MAS นั้น “มีเจตนาดี” ในการแสวงหาความสมดุลระหว่างผู้ใช้และผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมทำให้เกิดอุปสรรคบางประการ “ในระยะสั้น อาจขัดขวางบริษัทคริปโตขนาดเล็กที่มีทรัพยากรน้อยลงจากการตั้งหลักที่มั่นคงในสิงคโปร์ เนื่องจากต้นทุนการบริหารที่สูงขึ้น” Ken กล่าว ทั้งนี้ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Binance ได้ส่งข้อเสนอแนะจำนวน 8 หน้าไปยัง MAS เกี่ยวกับข้อเสนอของหน่วยงานกำกับดูแล สำหรับการคุ้มครองผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยแนะนำให้มีการปรับแต่งเล็กน้อยในแผน เพื่อหาความเหมาะสมร่วมกัน ขณะที่ในแนวคิดของ MAS ที่จะไม่อนุญาตให้ผู้เป็นเจ้าของกระดานเทรด ยืมเหรียญดิจิทัลที่เป็นของลูกค้ารายย่อย ซึ่งทาง Binance ได้พิจารณาแนวทางเทียบเคียงดังกล่าวนั้นแล้ว โดยลงความเห้นสรุปร่วมกันว่าอาจจำกัดรูปแบบการลงทุนของนักลงบา่งอย่าง เพื่อปกป้องลูกค้าจากความเสี่ยงของเลเวอเรจที่ไม่อาจควบคุมได้ “ด้วยกฎระเบียบที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการใช้การเปิดเผยข้อมูลและความยินยอมของลูกค้า มีความเป็นไปได้ที่กิจกรรมที่เรียบง่าย ความเสี่ยงต่ำ การออมและการให้ยืมสามารถให้บริการแก่ผู้บริโภครายย่อยได้อย่างปลอดภัย” รายงานระบุในข้อเสนอแนะ อย่างไรก็ดี MAS ได้ขอความคิดเห็นว่าผู้เล่น crypto จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระเพื่อดูแลทรัพย์สินของลูกค้าหรือไม่ ซึ่ง Binance กล่าวว่าอาจจำเป็นต้องใช้แนวทางเฉพาะ “มันอาจไม่มีความเป็นไปได้ในการดำเนินงานเสมอไป และในความเป็นจริงแล้ว อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ดูแลทรัพย์สินที่เป็นบุคคลที่สามในการถือครองทรัพย์สินของลูกค้า” ซึ่ง “Binance เสนอว่า ภายในกรอบควบคุมกฎระเบียบ […]

MahaHeng 168

3 March 2023