5 เหตุผลสำคัญที่ชี้ว่าอาจถึงยุคตกอับของบาร์ซ่า
“เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่ บาร์เซโลน่า ตกเป็นฝ่ายไล่หลัง เรอัล มาดริด” นั่นเป็นคำกล่าวของ เคราร์ด ปิเก้ ที่พูดถึงสถานการณ์ของทีมในปัจจุบันหลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ย่อยยับให้กับทีม ของ ซีเนดีน ซีดาน ผู้ครองตำแหน่งดับเบิ้ลแชมป์ในซีซั่นที่แล้วด้วยสกอร์รวม 5-1 ในรายการ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ หากย้อนกลับไปก่อนหน้าฤดูกาลที่แล้ว บาร์ซ่า ในยุคของ หลุยส์ เอ็นริเก้ เคยคว้า ทริปเปิ้ล และ ดับเบิ้ลแชมป์ มาครอง อันที่จริงพวกเขาก็ได้ชูถ้วย โกปา เดล เรย์ ในซีซั่นที่ผ่านมา รวมถึงการเบียดลุ้นตำแหน่งแชมป์ ลา ลีกา แบบหายใจรดต้นคอมาจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล แล้วมีสาเหตุอะไรที่กลับกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนในการถอยหลังลงคลองของพวกเข า
แดนกลางที่ร่วงโรย สิ่งหนึ่งที่เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนในการตกเป็นเบี้ยล่าง ราชันชุดขาว ในเกมส์บอลถ้วยเมื่อช่วงต้นซีซั่นที่ผ่านมาคือการคอนโทรลเกมส์ในแดนกลางของ พวกเขา ในยุคที่ ทีมเจ้าบุญทุ่ม ไล่โขยกคู่ปรับตัวฉกาจในศึก เอล กลาซิโก้ ด้วยสกอร์ 5-0 หรือ 6-2 ในอดีต สิ่งที่น่าจะติดตาแฟนบอลทั่วไปก็คือภาพของ ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า คอยบัญชาเกมส์อย่างไหลลื่น แต่ในปัจจุบัน ภาพคล้ายๆกันนั้นได้กลับข้างมาอยู่ทางฝั่ง ทีมชุดขาว จากฝีเท้าของ โทนี่ โครส และ ลูก้า โมดริช โดยมีแรงสนับสนุนที่สำคัญอย่าง คาเซมิโร่, อิสโก้, มาร์โก อเซนซิโอ, มาเตโอ โควาซิช หรือใครก็ตามที่ ซีดาน เลือกส่งลงมาในสนาม การหาผู้เล่นทดแทน ชาบี ที่ปัจจุบันยังคงค้าแข้งอยู่ใน กาตาร์ และ อิเนียสต้า ที่เริ่มมีปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้งและผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุดในสนามไปแล้วเป็น อะไรที่ไม่ง่ายเลย แต่ บาร์ซ่า กลับทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนขึ้นไปอีก ทั้งๆที่ อิวาน ราคิติช ทำหน้าที่ได้แทบไม่มีที่ติ แต่ความพยายามยึดติดกับ อังเดร โกเมส ผู้ที่ยังไม่สามารถส่งสัญญาณอะไรออกมาให้เห็นถึงการเป็นคนแบกรับหน้าที่สำคั ญในแดนกลางก็ยังคงเป็นอะไรที่ค้างคาใจบรรดาสาวกของทีม เอกลักษณ์ของทีมที่ขาดหายไป ลา มาเซีย คือ สิ่งที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตาสำหรับพวกเขาในการผลิตสตาร์หน้าใหม่ป้อนขึ้นสู่ทีม ชุดใหญ่ ซึ่งจะเห็นได้จากป้ายแบนเนอร์จากฝั่งกองเชียร์ของทีมที่กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นในสไตล์ของเรา” แต่สไตล์ที่ว่าของพวกเขาในวันนี้คืออะไร? จากสิ่งที่เคยเห็นได้อย่างเด่นชัดในเกมส์กับ เลบานเต้ เมื่อปี 2012 ด้วยไลน์อัพ 11 คนแรกอันเลื่องชื่อในนัดนั้นที่ประกอบไปด้วยเด็กปั้นผู้จบหลักสูตรมาจากอะคาเดมี่ ของทีมทุกคน แต่ในวันนี้นักเตะเหล่านั้นต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทางเนื่องจากต้องการโอกาส ในการลงสนาม แต่ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้นับรวมถึงผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสอย่าง เนย์มาร์ และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่พวกเขาคือองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งยวดของทีม หากแต่เป็นนักเตะค่าตัวแพงตามราคาในท้องตลาดคนอื่นๆที่ทยอยกันเข้ามาเบียด แย่งตำแหน่งของอดีตผู้เล่นโฮมโกรว์นทั้งหลายจนไม่มีที่ยืนอยู่ในปัจจุบัน
มหากาพย์การย้ายทีมของ เนย์มาร์ แม้ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ จะไม่ได้เอ่ยชื่อของ ดาวยิงชาวแซมบ้า เอาไว้ แต่ความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขาค่อนข้างชัดเจน “มีบางสิ่งเกิดขึ้นในช่วงปรีซีซั่นที่ส่งผลกระทบถึงความสมดุลภายในทีม มันเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามเร่งแก้ไขหรือมองหาหนทางอื่นที่จะนำความสมดุลกลับ คืนมา” ซึ่งเราสามารถตีความคำพูดของเขาได้ออกเป็น 2 ทาง อย่างแรก นั่นคือผลกระทบที่ส่งผลต่อแนวทางการเล่นของทีมโดยตรง การปราศจาก เนย์มาร์ ที่ประจำการในตำแหน่งปีกซ้าย รวมถึงการหุบ ลีโอเนล เมสซี่ จากทางกราบขวาเข้ามาอยู่ตรงกลางทำให้การโจมตีในด้านกว้างของพวกเขาขา ดหายไป ซึ่งส่งผลกระทบชัดเจนต่อบาลานซ์ของทีม อันดับที่สอง มองในด้านของจิตใจ บาร์ซ่า เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เซ็นใครเข้ามาก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการจากการถูกยกย่องว่า เป็นสุดยอดทีมของโลก แต่มาวันนี้พวกเขาจะรับมืออย่างไรกับการที่ถูกพรากผู้เล่นที่ดีที่สุดอันดับสองออกไ ป คนที่ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลายเป็นทายาทผู้ทำหน้าที่แบกรับทีมต่อจาก เมสซี่ แต่สุดท้ายกลับเดินหันหลังไปอยู่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ซะงั้น แต่ไม่ว่าจะพิจารณาถึงสิ่งที่ กุนซือชาวสเปน พูดไว้ในมุมใดก็ตาม มันก็เป็นอะไรที่ชัดเจนว่า การจากไปของ เนย์มาร์ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างจัดจ้านในช่วงออกทัวร์ที่ สหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบเข้าอย่างจังกับทีมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เมสซี่ ผู้โดดเดี่ยว การมีผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกอยู่ในทีมเพียงลำพังก็อาจทำให้เราไปได้ไกลที่สุดเหมือ นดั่งที่ อาร์เจนติน่า เคยทำไว้ ดาวยิงวัย 30 ปี จะเปล่งประกายออกมาแบบสุดๆหากมีองค์ประกอบที่เกื้อหนุนอยู่รายล้อมตัวเขา และเราคงได้เห็นความกระฟัดกระเฟียดของเขาในเกมส์กับ มาดริด นัดล่าสุดที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่เคย แข้งระดับคีย์แมนคนแล้วคนเล่าที่เดินจากไป นับตั้งแต่ ชาบี ต่อด้วย ดานี่ อัลเวส จนกระทั่งล่าสุดมาเป็น เนย์มาร์ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังมี ซัวเรซ อยู่ข้างๆ แต่ล่าสุดเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หัวหอกชาวอุรุกวัย ดันมาได้รับบาดเจ็บจนน่าจะต้องพักแข้งไปเป็นเวลาร่วมเดือน ดังนั้น บาร์ซ่า จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเจียดเงินทุนจากค่าตัวร่วม 200 ล้านปอนด์อันเป็นสถิติโลกในการปล่อยตัว เนย์มาร์ ออกไป โดยที่ผ่านมาพวกเขาตกเป็นข่าวลือหนาหูกับ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ อุสมาน เดมเบเล่ ที่ล่าสุดแนวโน้มในการคว้าตัวสตาร์ทั้งสองก็ยังดูริบหรี่ จนมามีชื่อของ ฌอง มิเชล เซรี่ ที่พอจะได้ลุ้นอยู่บ้าง
สถานการณ์หมิ่นเหม่ภายนอกสนาม เคราร์ด ปิเก้ พึ่งถูก เป๊ป เซกูร่า ผจก.ทั่วไปของทีมตำหนิหลังเกมส์ที่พ่ายแพ้ให้กับ มาดริด ในบ้านว่า “ความผิดพลาดส่วนตัวของ ปิเก้ ส่งผลกระทบต่อเกมส์” ก่อนที่ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ จะออกมาตอกกลับผู้บริหารพร้อมปกป้องเพื่อนร่วมทีมว่า “มันไม่ใช่หนทางที่ฉลาดเลยในการเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวออกมา และยิ่งกับการที่มันออกมาจากทางฝั่งของสโมสรโดยมุ่งประเด็นไปที่นักเตะคนหนึ่ง ” ถึงแม้ในวันต่อมา ปราการหลังทีมชาติสเปน จะออกมาพูดว่าเขาไม่ได้ติดใจอะไรกับคำพูดของ เซกูร่า แต่นั่นก็ดูเหมือนเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งที่เปรียบได้กับปัญหาภายในทีมโ ดยเฉพาะกับพวกระดับบิ๊กๆที่อาจจะมีซุกซ่อนอยู่ลึกมากกว่าที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญในโลกออนไลน์ที่เรียกร้องให้ โจเซป บาร์โตเมว ลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสร หรือย้อนกลับไปถึงการทำงานในดีลของ เนย์มาร์ เมื่อปี 2013 ที่กลายเป็นเรื่องราวฟ้องร้องกันใหญ่โต จนมาถึงการเซ็นสัญญาเสริมทัพกับ เปาลินโญ่ ที่แฟนๆส่วนใหญ่ร้องยี้ ถึงแม้ โจน ลาปอร์ต้า อดีตหัวเรือใหญ่จะเป็นผู้เปิดประเด็นเรื่องความฟอนเฟะของทีมผู้บริหารขึ้นมา แต่กลับเป็น อกุสติ เบเนดิโต้ ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานในปี 2015 ที่เป็นผู้ผลักดันให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจบอร์ดบริหารและเรียกร้องเสียงสนับสนุน 16,000 คนเพื่อให้ญัตติของเขาได้รับการเห็นชอบ
Post Views: 920